เวียดนาม.... หนีเข้าเมือง สวมบัตรไทย กว้านซื้อฝากที่ดินกว่าร้อยแปลง ข้าราชการ นอมินีไทยเอื้อ   

            สื่อมวลชนได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านจังหวัดหนองบัวลำภู  ว่ามีชาวเวียดนามสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยเข้ามาทำธุรกิจปล่อยเงินกู้และรับซื้อฝากที่ดิน และปลอมแปลงเอกสารนำโฉนดไปขายทอดตลาดและฟ้องขับไล่เจ้าของที่ดิน  โดยมีข้าราชการบางรายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนแสวงหาผลประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนชาวไทยหลายพื้นที่  สื่อมวลชนได้ลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพบว่านายกิตตินันท์ สุนทราภิราม เป็นชาวเวียดนาม มีชื่อว่ามิน  เตรินวัน เป็นบุตรชนกลุ่มน้อยกลุ่มเวียดนามอพยพ  ตามหนังสือรับรองสถานที่เกิดของบุตรชนกลุ่มน้อยกลุ่มเวียดนามอพยพ   เกิดที่ อยู่บ้านเลขที่ 044 หมู่ 1 ถนนริมโขง  ตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่  จังหวัดหนองคาย  นายมิน  เตรินวัน ได้หลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไทยไปยังประเทศที่สาม ฝ่ายทะเบียนอำเภอศรีเชียงใหม่ ได้อนุมัติให้ถอนชื่อออกจากทะเบียนบ้าน ตามทะเบียนบ้านญวณอพยพ ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2516  และได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย และได้สวมบัตรประจำตัวประชาชนของ  นายอนุสรณ์  ดีเจริญ  ที่ฝ่ายทะเบียนจังหวัดหนองคาย

          วันที่ 10 มกราคม 2540  และต่อมาได้เปลี่ยนที่อยู่หลายแห่งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย และเปลี่ยนชื่อ-สกุล เป็นกิตตินันท์  สุนทราภิราม  ขณะสวมบัตรประชาชนเจ้าของบัตรตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ และได้เสียชีวิตเมื่อปี 2557 เป็นเวลา 27 ปี ที่นายกิตตินันท์ ได้สวมบัตรประชาชนของนายอนุสรณ์ และเริ่มทำธุรกิจรับซื้อขายฝากที่ดิน ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดหนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย สกลนคร โดยหนึ่งในนั้นเป็นเจ้าของร้านอาหาร ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ถูกนายกิตตินันท์ สร้างข้อมูลเท็จโดยการปลอมรายละเอียดในเอกสารหลังโฉนดที่ดินระบุชื่อนายกิตตินันท์ มีอำนาจขายฝากในโฉนดที่ดินโดยมีเจ้าหน้าที่ในสำนักงานที่ดินบางคนให้การช่วยเหลือ ก่อนจะนำไปขายทอดตลาดเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรายนี้ถูกนายทุนที่มาซื้อที่ดินไป ในราคา 1 ล้านบาท ฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินของตัวเอง และถูกคุมขังอยู่ 7 วัน ขณะนี้เรื่องอยู่ในศาลชั้นอุทธรณ์
             นายกิตตินันท์ สุนทราภิราม  หรือ นายมิน  เตรินวัน อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดอุดรธานีวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 คดีความอาญาในความผิดฐานใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อให้ตนเองมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎรยื่นโดยไม่ชอบแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรใหม่แจ้งความอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหายและแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่จะทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน  ในครั้งนี้ได้มีข้าราชการอดีตปลัดอำเภอเมืองอุดรธานี ให้การช่วยเหลือ ก่อนได้ย้ายไปที่อำเภอกุดจับ ประมาณสองเดือนและได้ชิงลาออกก่อนที่จะมีเรื่องพัวพันมาถึงตัว  และอาจมีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือ ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองอุดรธานี รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี และ ตม.อุดรธานี จึงไม่เข้าจับกุมตามหมายจับดังกล่าว  สื่อมวลชนและผู้เสียหายจึงได้ประสานตำรวจสอบสวนกลาง(กองปราบ) เข้าดำเนินการจับกุมตัว นายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน
               เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2566 ตำรวจสอบสวนกลางเข้าจับกุมนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน ซึ่งอาศัยอยู่กับหญิงคนสนิท คือ นางสาวณิชาภัทฐ์ สว่างขจร อดีตปลัดอำเภอฝ่ายปกครองอำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ที่ได้ชิงลาออกจากราชการและเป็นผู้ให้ที่พักพิงแก่ นายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน นายทุนชาวเวียดนาม ถูกตำรวจสอบสวนกลางจับกุมแล้วและก็พบว่าผู้ต้องหานั้นสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอีกจำนวนมากใน 4-5 จังหวัดแถบภาคอีสานที่ถูกยึดที่ทำกินหลายราย  ได้แก่จังหวัดหนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู สกลนคร  อุดรธานี   ตำรวจสอบสวนกลางเข้าจับกุมนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน ที่หมู่บ้านรุ่งเรือง นาดี  เลขที่ 87 / 106  อำเภอเมืองอุดรธานี  จังหวัดอุดรธานี เป็นบ้านพักของ นางสาวณิชาภัทฐ์ สว่างขจร อดีตปลัดอำเภอเมืองอุดรธานี ฝ่ายทะเบียน และอดีตปลัดอำเภอกุดจับ ฝ่ายปกครอง ซึ่งได้ชิงลาออกก่อนในช่วงที่มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบการใช้เอกสารอันเป็นเท็จของนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน
              จากการสืบสวนยังพบว่า นายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน  ได้จงใจยื่นเอกสารอันเป็นเท็จในหลายพื้นที่เพื่อเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนชื่อสกุล และนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน ได้ถูกจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนราษฏรตามระเบียบข้อ 110  เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม  2565  
                        

 
 
 
 
 
 
นายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน  ได้ไปยื่นคำร้องขอทำบัตรประชาชนใหม่ที่อำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานีเมื่อปลายปี 2565 แต่นายทะเบียนอำเภอเมืองอุดรธานี ตรวจสอบพบว่าไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยและได้นำเอกสารปลอมมายื่นจึงถูกออกหมายจับตั้งแต่ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา   แต่มีผู้มีอำนาจได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีส่วนเกี่ยวข้องบางรายในหลายหน่วยงาน ให้ความช่วยเหลือจึงยังไม่ถูกจับและได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานหลายเดือน และตำรวจสอบสวนกลางเข้าจับกุมนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน ได้เข้าจับกุมเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม  2566  โดยผู้ต้องหายังอ้างว่ากำลังจะเข้ามอบตัวแต่ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตำรวจสอบสวนกลางนำตัวนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน ไปทำบันทึกการจับกุม ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี  และส่งตัวให้ปกครองอำเภอเมืองอุดรธานี ก่อนที่ได้รับการประกันตัวในวันเดียวกัน  และปกครองอำเภอเมืองอุดรธานี โดยนางรัชนี  นารินทรักษ์  ปลัดอำเภอเมืองอุดรธานี  ได้ส่งสำนวนให้อัยการจังหวัดอุดรธานี หมายเลข 3305/2566  เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 และได้ผลัดฟ้องมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน 8 – 9 ครั้ง                        ตำรวจกองกำกับการ 3 กองปราบปรามซึ่งได้เข้าจับกุมนายกิตตินันท์ระบุว่าพฤติกรรมของผู้ต้องหาเป็นกลุ่มนายทุนชาวเวียดนามทำธุรกิจรับซื้อขายฝากที่ดินแต่ได้สร้างยื่นข้อมูลเท็จเพื่อนำที่ดินของชาวบ้านไปขายทอดตลาด โดยตลอดที่ผ่านมามีผู้เสียหายหลายรายที่ถูกยึดที่ดินไป  เจ้าหน้าที่พบว่ามีผู้เสียหายใน 5 จังหวัดทั้งอุดรธานีหนองคาย สกลนครและหนองบัวลำภู ได้รับความเดือดร้อนเตรียมจะเข้าแจ้งความเพิ่มเติมที่ตำรวจสอบสวนกลางส่วนอดีตปลัดอำเภอซึ่งเป็นหญิงคนสนิทได้ให้การช่วยเหลือวิ่งเต้นในการทำบัตรประชาชนหรือไม่อย่างไร และได้ใช้ตำแหน่งราชการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเอื้อประโยชน์ ปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยชาวเวียดนามทำผิดกฎหมายหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน  ได้โอนที่ดินเฉพาะส่วนให้กับนางสาวณิชาภัทฐ์ สว่างขจร และนางสาวพรชนก  เงินอยู่  อาจเป็นนอมินีของนายทุนชาวเวียดนาม สื่อมวลชนได้ลงพื้นที่สอบถามแต่ไม่ได้คำตอบ และแม่ของนางสาวพรชนก  เงินอยู่  บอกว่าไม่ทราบเรื่องดังกล่าวหรือลูกสาวอาจถูกหลอกก็เป็นได้
                   สื่อมวลชนได้ลงพื้นที่แสวงหาข้อเท็จจริงโดยติดต่อหน่วยงานราชการ อาทิ เทศบาลนครอุดรธานี  อำเภอเซกา  จังหวัดบึงกาฬ  และสำนักงานที่ดินจังหวัดอีกหลายจังหวัด หลายอำเภอ  แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ และเจ้าหน้าที่ไม่อยากเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายกิตตินันท์  สุนทราภิราม หรือ นายมิน  เตรินวัน  ความผิดฐานใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จแจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งความอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนได้รับความเสียหายและแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่จะทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน     ซึ่งมีความผิดชัดเจนในการสวมบัตรประจำตัวประชาชนคนไทย และจงใจแสดงเอกสารอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ มีอายุความ 10 ปี นับจากวันที่มาติดต่อทำธุรกรรมกับหน่วยงานของรัฐ  และสื่อมวลชนจะได้ติดตามความคืบหน้าและรายงานให้ทราบต่อไป