เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สังคม ออกหมายเรียกเจ้าของที่ดินนายทุนท่าทรายที่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวและป่าแก้งไก่แล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สังคม ออกหมายเรียกเจ้าของที่ดินนายทุนท่าทรายที่บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวและป่าแก้งไก่แล้ว แต่ยังไม่มาพบตำรวจ ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ บูรณการหลายหน่วยงานเข้าตรวจยึดพื้นที่พร้อมแจ้งความจับ แฉซ้ำนายทุนท่าทรายกลุ่มนี้ทำกันเป็นขบวนการ มีหน่วยงานรัฐในจังหวัดหนองคายบางหน่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบางคนเอื้อประโยชน์ คาดเตรียมนำเข้าทรายจาก สปป.ลาว ด้านชาวบ้านในพื้นที่หวั่นซ้ำรอยที่ จ.นครพนม หลังผู้ประกอบการหัวใสลักลอบทำผิดดูดหินทราย ในฝั่งประเทศไทย แต่มีการสำแดงเท็จอ้างนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับสัมปทาน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 65 นายสุรศักดิ์ อัคคะปะชะ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นค.1 (สังคม) พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นค.1 (สังคม) ,เจ้าหน้าที่ กก.3 บก.ปทส. ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จังหวัดหนองคาย ,เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลผาตั้ง ,เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 2104, เจ้าหน้าที่ชุด มว.ตชด.2453 (ผาตั้ง),เจ้าหน้าที่ นรข.เขตหนองคาย (สถานีเรือสังคม) ได้ร่วมกันตรวจยึดพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวและป่าแก้งไก่ที่ถูกกลุ่มนายทุนบุกรุก พร้อมแจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าอันเป็นการทำลายป่า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ,กระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14ฐาน ยึดถือครอบครอง ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยในวันนี้ (11 ม.ค. 66) สื่อมวลชนได้ลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งภายหลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าตลิ่งแม่น้ำโขงทรุดเป็นบริเวณกว้างภายหลังจากที่นายทุนทำท่าทรายกลุ่มดังกล่าวเข้าดำเนินแผ้วถางปรับพื้นที่ทางลงท่าทรายโดยบุกรุกพื้นที่ป่าพานพร้าว ป่าแก้งไก่
จากการสำรวจความสื่อมวลชนพบว่าตลิ่งแม่นำโขงได้ทรุดเป็นทางยาวหลายเมตรและมีแนวโน้มจะขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนฯ มีต้นไม้หลายชนิดขึ้นปกคลุมตลิ่งแม่นโขงไว้แต่เมื่อนายทุนเข้าไปดำเนินการแผ้วถางป่าทำให้ตลิ่งแม่น้ำโขงทรุดตัวบริเวณกว้าง
ต่อกรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พ.ต.อ.เจษฎา คุ้มศาสตรา ผกก.สภ.สังคม ในส่วนของการดำเนินคดีผู้ที่บุกรุกป่าสงวนฯ โดยได้รับคำชี้แจงว่าเบื้องต้นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์แล้ว และได้ออกหมายเรียกนายสานิตย์ ยอดนวล สัญชาติไทย บ้านเลขที่ 54/15 หมู่ที่ 6 ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 847 เล่ม 9ก. หน้า 47 เลขที่ดิน 15 และ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 848 เล่ม 9ก. หน้า 48 เลขที่ดิน 16 ในพื้นที่เกิดเหตุแต่ยังไม่มาพบซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายในส่วนของตำรวจอยู่แล้ว ซึ่งยังตรวจพบอีกว่านายทุนรายดังกล่าวยังมีปัญหากับเจ้าของที่ดินข้างเคียงอีกด้วย
สำหรับจุดดังกล่าว จากการตรวจสอบของสื่อมวลชนพบว่ากำลังปรับพื้นที่เพื่อทำการดูดทราย ซึ่งเตรียมทำสัมปทาน นำเข้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยชาวบ้านในพื้นที่รวมทั้งผู้ประกอบการท่าทรายที่ประกอบกิจการอย่างถูกกฎหมายหวั่นเกรงว่า ตามกฎหมายมีการกำหนดพื้นที่แนวเขต จุดที่สามารถเรือดูดทรายจะดำเนินการได้ไว้อย่างชัดเจน อาจมีการตีมึนฉวยโอกาสดูดทราย ใกล้ริมเขื่อนฝั่งไทยถือว่าผิดกฎหมาย และเป็นการหาช่องว่างฉวยโอกาสลดต้นทุนในการขนส่ง อีกทั้ง ปริมาณการนำเข้าว่ามีการเสียภาษีแก่รัฐถูกต้องหรือไม่ซึ่งปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วที่จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นการขออนุญาตแบบสัมปทานนำเข้า โดยมีระเบียบตามกฎหมาย คือจะต้องได้รับสัมปทานจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และมีแนวเขตชัดเจนในการนำเรือไปดูดทรายในลำน้ำโขง แต่ไม่สามารถที่จะเข้ามาดูดทรายใกล้เขื่อนป้องกันตลิ่งของฝั่งไทยได้ ซึ่งมีระเบียบกำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งที่จังหวัดนครพนมพบว่า ผู้ประกอบการเรือดูดทรายบางราย มีการฉวยโอกาสดูดใกล้ฝั่งไทย รวมถึงไม่มีแนวเขตชัดเจน ในการดูดหินทราย เป็นการฉวยโอกาส เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูแลตลอดเวลา จึงหาโอกาสลดต้นทุน ถือว่าเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระทบวิถีชีวิตชาวบ้านที่มีอาชีพประมงหาปลา
ซึ่งหากผู้ประกอบการบางราย ที่เห็นแก่ตัวฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่สร้างความเสียหายแก่รัฐ ชาวบ้านในพื้นที่รวมทั้งเครือข่ายสื่อมวลชนจังหวัดหนองคายจึงต้องการให้มีการตรวจสอบแนวเขต แล้วดำเนินการวางแนวเขตในการดูดทรายที่ชัดเจน และตรวจสอบควบคุม ห้ามไม่ให้รุกน่านน้ำฝั่งไทย เพื่อให้ให้ทำลายการประกอบอาชีพประมงของชาวบ้าน ให้มีการตรวจสอบปริมาณนำเข้าว่า ตรงตามที่ขออนุญาตหรือไม่ ป้องกันไม่ให้แอบแฝงฉวยโอกาสเลี่ยงภาษี
จากการตรวจสอบข้อมูลของสื่อมวลชนที่จังหวัดนครพนมยังพบว่า มีเรือดูดทรายของผู้รับสัมปทานรายหนึ่งกระทำผิดซ้ำซาก กล่าวคือช่วงเดือนมีนาคม 2564 ตำรวจน้ำธาตุพนมร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ธาตุพนม พร้อมด้วยทหารและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ กลุ่มผู้ลักลอบกระทำผิดของผู้ประกอบการดูดหินทรายตามลำน้ำโขงในพื้นที่ ต.น้ำก่ำ หลังได้รับร้องเรียนจากประชาชนว่า มีการลักลอบกระทำผิดดูดหินทราย ในฝั่งประเทศไทย แต่มีการสำแดงเท็จอ้างนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับสัมปทาน เป็นการกระทำความผิดกฎหมายซึ่งหน้าเจ้าหน้าที่มานาน หลังตรวจพบว่าผู้ประกอบการรายนี้ฉวยโอกาสดูดในน่านน้ำฝั่งไทย อีกทั้งยังสำแดงเท็จต่อศุลกากรอีกด้วย
จนกระทั่งผู้ประกอบการดูดทรายเข้ามาในพื้นที่อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ขนาดยังไม่ได้เริ่มทำการดูดทรายยังกระทำความผิดด้วยการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวป่าแก้งไก่แล้ว หากปล่อยให้ดำเนินการโดยไม่เข้มงวดชาวบ้านหวั่นจะเกิดปัญหาตามมามากมายอย่างแน่นอน โดยรายละเอียดความคืบหน้าสื่อมวลชนจะได้นำเสนอข่าวต่อไป.
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 65 นายสุรศักดิ์ อัคคะปะชะ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นค.1 (สังคม) พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ นค.1 (สังคม) ,เจ้าหน้าที่ กก.3 บก.ปทส. ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จังหวัดหนองคาย ,เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลผาตั้ง ,เจ้าหน้าที่กองร้อยทหารพรานที่ 2104, เจ้าหน้าที่ชุด มว.ตชด.2453 (ผาตั้ง),เจ้าหน้าที่ นรข.เขตหนองคาย (สถานีเรือสังคม) ได้ร่วมกันตรวจยึดพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวและป่าแก้งไก่ที่ถูกกลุ่มนายทุนบุกรุก พร้อมแจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าอันเป็นการทำลายป่า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ,กระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14ฐาน ยึดถือครอบครอง ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยในวันนี้ (11 ม.ค. 66) สื่อมวลชนได้ลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งภายหลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าตลิ่งแม่น้ำโขงทรุดเป็นบริเวณกว้างภายหลังจากที่นายทุนทำท่าทรายกลุ่มดังกล่าวเข้าดำเนินแผ้วถางปรับพื้นที่ทางลงท่าทรายโดยบุกรุกพื้นที่ป่าพานพร้าว ป่าแก้งไก่
จากการสำรวจความสื่อมวลชนพบว่าตลิ่งแม่นำโขงได้ทรุดเป็นทางยาวหลายเมตรและมีแนวโน้มจะขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนฯ มีต้นไม้หลายชนิดขึ้นปกคลุมตลิ่งแม่นโขงไว้แต่เมื่อนายทุนเข้าไปดำเนินการแผ้วถางป่าทำให้ตลิ่งแม่น้ำโขงทรุดตัวบริเวณกว้าง
ต่อกรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พ.ต.อ.เจษฎา คุ้มศาสตรา ผกก.สภ.สังคม ในส่วนของการดำเนินคดีผู้ที่บุกรุกป่าสงวนฯ โดยได้รับคำชี้แจงว่าเบื้องต้นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์แล้ว และได้ออกหมายเรียกนายสานิตย์ ยอดนวล สัญชาติไทย บ้านเลขที่ 54/15 หมู่ที่ 6 ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือครองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 847 เล่ม 9ก. หน้า 47 เลขที่ดิน 15 และ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 848 เล่ม 9ก. หน้า 48 เลขที่ดิน 16 ในพื้นที่เกิดเหตุแต่ยังไม่มาพบซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายในส่วนของตำรวจอยู่แล้ว ซึ่งยังตรวจพบอีกว่านายทุนรายดังกล่าวยังมีปัญหากับเจ้าของที่ดินข้างเคียงอีกด้วย
สำหรับจุดดังกล่าว จากการตรวจสอบของสื่อมวลชนพบว่ากำลังปรับพื้นที่เพื่อทำการดูดทราย ซึ่งเตรียมทำสัมปทาน นำเข้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยชาวบ้านในพื้นที่รวมทั้งผู้ประกอบการท่าทรายที่ประกอบกิจการอย่างถูกกฎหมายหวั่นเกรงว่า ตามกฎหมายมีการกำหนดพื้นที่แนวเขต จุดที่สามารถเรือดูดทรายจะดำเนินการได้ไว้อย่างชัดเจน อาจมีการตีมึนฉวยโอกาสดูดทราย ใกล้ริมเขื่อนฝั่งไทยถือว่าผิดกฎหมาย และเป็นการหาช่องว่างฉวยโอกาสลดต้นทุนในการขนส่ง อีกทั้ง ปริมาณการนำเข้าว่ามีการเสียภาษีแก่รัฐถูกต้องหรือไม่ซึ่งปัญหานี้เคยเกิดมาแล้วที่จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นการขออนุญาตแบบสัมปทานนำเข้า โดยมีระเบียบตามกฎหมาย คือจะต้องได้รับสัมปทานจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และมีแนวเขตชัดเจนในการนำเรือไปดูดทรายในลำน้ำโขง แต่ไม่สามารถที่จะเข้ามาดูดทรายใกล้เขื่อนป้องกันตลิ่งของฝั่งไทยได้ ซึ่งมีระเบียบกำหนดไว้ชัดเจน ซึ่งที่จังหวัดนครพนมพบว่า ผู้ประกอบการเรือดูดทรายบางราย มีการฉวยโอกาสดูดใกล้ฝั่งไทย รวมถึงไม่มีแนวเขตชัดเจน ในการดูดหินทราย เป็นการฉวยโอกาส เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูแลตลอดเวลา จึงหาโอกาสลดต้นทุน ถือว่าเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระทบวิถีชีวิตชาวบ้านที่มีอาชีพประมงหาปลา
ซึ่งหากผู้ประกอบการบางราย ที่เห็นแก่ตัวฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่สร้างความเสียหายแก่รัฐ ชาวบ้านในพื้นที่รวมทั้งเครือข่ายสื่อมวลชนจังหวัดหนองคายจึงต้องการให้มีการตรวจสอบแนวเขต แล้วดำเนินการวางแนวเขตในการดูดทรายที่ชัดเจน และตรวจสอบควบคุม ห้ามไม่ให้รุกน่านน้ำฝั่งไทย เพื่อให้ให้ทำลายการประกอบอาชีพประมงของชาวบ้าน ให้มีการตรวจสอบปริมาณนำเข้าว่า ตรงตามที่ขออนุญาตหรือไม่ ป้องกันไม่ให้แอบแฝงฉวยโอกาสเลี่ยงภาษี
จากการตรวจสอบข้อมูลของสื่อมวลชนที่จังหวัดนครพนมยังพบว่า มีเรือดูดทรายของผู้รับสัมปทานรายหนึ่งกระทำผิดซ้ำซาก กล่าวคือช่วงเดือนมีนาคม 2564 ตำรวจน้ำธาตุพนมร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ธาตุพนม พร้อมด้วยทหารและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ กลุ่มผู้ลักลอบกระทำผิดของผู้ประกอบการดูดหินทรายตามลำน้ำโขงในพื้นที่ ต.น้ำก่ำ หลังได้รับร้องเรียนจากประชาชนว่า มีการลักลอบกระทำผิดดูดหินทราย ในฝั่งประเทศไทย แต่มีการสำแดงเท็จอ้างนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับสัมปทาน เป็นการกระทำความผิดกฎหมายซึ่งหน้าเจ้าหน้าที่มานาน หลังตรวจพบว่าผู้ประกอบการรายนี้ฉวยโอกาสดูดในน่านน้ำฝั่งไทย อีกทั้งยังสำแดงเท็จต่อศุลกากรอีกด้วย
จนกระทั่งผู้ประกอบการดูดทรายเข้ามาในพื้นที่อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ขนาดยังไม่ได้เริ่มทำการดูดทรายยังกระทำความผิดด้วยการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าพานพร้าวป่าแก้งไก่แล้ว หากปล่อยให้ดำเนินการโดยไม่เข้มงวดชาวบ้านหวั่นจะเกิดปัญหาตามมามากมายอย่างแน่นอน โดยรายละเอียดความคืบหน้าสื่อมวลชนจะได้นำเสนอข่าวต่อไป.