“อลงกรณ์”ชี้ปี2565คือจุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่ยุคใหม่ของการลดก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุภาวะโลกร้อน  

  “อลงกรณ์”ชี้ปี2565คือจุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่ยุคใหม่ของการลดก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุภาวะโลกร้อน

        นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานมูลนิธิWorldview Climate Foundation (WCF)บรรยายพิเศษ
หัวข้อ “ศักยภาพของโครงการบลู คาร์บอนในประเทศไทย”(Potential for blue carbon projects in Thailand”ในการประชุมนานาชาติจัดโดยมูลนิธิWorldview International ที่กรุงเทพมหานครวันนี้
โดยแสดงวิสัยทัศน์อนาคตประเทศไทยในการเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ(Low Carbon Nation)เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ(Climate Change)ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Green House Gases:GHGs)อย่างจริงจังหตามพันธกรณีที่นายกรัฐมนตรีของไทยประกาศเป้าหมายในการประชุมCOP26ที่เมืองกลาสโกว์ สก็อตแลนด์โดยกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยบรรลุความเป็นกลาง(Carbon Neutrality)ของคาร์บอนในปี 2050และคาร์บอนเป็นศูนย์(Zero Carbon)ในปี2065ซึ่งทำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐภาคเอกชนเครือข่ายองค์กรประชาสังคมได้เร่งรัดดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อนเช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประมง มูลนิธิWCFและบริษัทเอกชนรายใหญ่เช่นเครือปูนซีเมนต์ไทย(SCG) ปตท. บริษัทเชลล์ประเทศไทย บริษัทบางจากปิโตรเลียม รวมทั้งองคการก๊าซเรือนกระจก
(TGO)ได้กำหนดมาตรฐานของประเทศไทยว่าด้วยการรับรองการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(T-VER)และกำลังพัฒนาสู่มาตรฐานสากล

 

นายอลงกรณ์กล่าวว่า ราคาการค้าคาร์บอน(Carbon Trading)เพิ่มขึ้น3เท่าตัวภายในปีเดียวจากคาร์บอนตันละ34บาทในปี2021เป็น107บาทในปีนี้ 
เขื่อมั่นว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งราคาและปริมาณแบบก้าวกระโดดและปี2022(พ.ศ 2565)คือจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยในการขับเคลื่อนโครงการบลู คาร์บอนสู่ยุคใหม่ของการลดก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุภาวะโลกร้อน
    การตื่นตัวของภาคเอกชนและภาครัฐที่ดำเนินโครงการปลูกป่าบนบก โครงการปลูกป่าโกงกาง3แสนไร่ภายใน10ปีและล่าสุดคือโครงการส่งเสริมการปลูกเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลใน22จังหวัดติดชายทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามันซึ่งดูดซับคาร์บอนสูงกว่าต้นไม้ทั่วไปถึง5เท่าทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และโครงการดังกล่าวยังช่วยสร้างรายได้สร้างอาชีพใหม่ๆให้เกิดความเข็มแข็งและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนประมงพื้นบ้านอีกด้วย.