ศรีสะเกษ คืบหน้าแม่ลักนม 3 กล่องไปให้ลูกรองผู้ว่าสำรวยนำคณะส่วนราชการเข้าช่วยเหลือ เตือนอย่าทำผิดซ้ำอีก เตรียมจัดหาที่อยู่อาศัยและหาอาชีพที่มั่นคงให้มีรายได้เลี้ยงดูลูกสาว  

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ น.ส.นันท์ (นามสมมุติ) อายุ 51 ปี ชาวบ้านชุมชนแห่งหนึ่งเขตเทศบาลเมืองศรีสะเกษ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ได้ลักนมกล่อง จำนวน 3 กล่อง เพื่อจะเอาไปให้ลูกสาวดื่มกิน และได้ถูกทางร้านสะดวกซื้อจับกุมได้ และแจ้งตำรวจควบคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมา พ.ต.อ.ณัฐกิตติ์ เจริญเกษสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ และ พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า รอง ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ ได้อนุมัติให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าสิ่งของที่ลักไปมูลค่าไม่มาก และมีที่อยู่ชัดเจน ล่าสุด พระครูโกศลสิกขกิจ หรือหลวงพ่อพุฒ วายาโม ประธานมูลนิธิหลวงปู่สรวง เจ้าคณะ อ.ภูสิงห์ (ธ) และเจ้าอาวาสวัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ ได้นำคณะผู้ใจบุญเข้าไปให้การช่วยเหลือมอบข้าวสาร อาหารแห้งและเงินสด เพื่อเป็นการให้การช่วยเหลือ น.ส.นันท์ ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 19 ก.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุม สภ.เมืองศรีสะเกษ นายสำรวย เกษกุล รอง ผวจ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย  พ.ต.อ.หัสพงศ์ เติมศิริตังคโณบล พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า รอง ผบก.ภ.จว.ศรีสะเกษ นายคมป์ สังข์วงษ์ นายอำเภอเมืองศรีสะเกษ พ.ต.อ.ณัฐกิจ เจริญเกษสุวรรณ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมร่วมกัน เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงของเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่ง พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และมูลเหตุคดีเกิดจากปัจจัยใดบ้าง ซึ่งนายสำรวยได้หารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งบ้านพักเด็กและครอบครัว พมจ.ศรีสะเกษ แรงงาน จ.ศรีสะเกษ จัดหางาน จ.ศรีสะเกษ เทศบาลเมืองศรีสะเกษ เพื่อหาแนวทางที่จะให้การช่วยเหลือ น.ส.นันท์ และครอบครัว จากนั้น ได้นำคณะลงมาที่บริเวณหน้า สภ.เมืองศรีสะเกษ ซึ่งมีผู้ใจบุญทั้งส่วนราชการและภาคเอกชน ได้นำเอาสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนมากมามอบให้กับ น.ส.นันท์ ทำให้ น.ส.นันท์ตื้นตันใจมาก ทำให้น้ำตาคลอเบ้า และกล่าวสั้นๆว่า ตนกราบขอบพระคุณทุกส่วนที่ได้ให้ความเมตตาช่วยเหลือตนในครั้งนี้ ตนขอสัญญาว่าจะไม่ทำผิดกฎหมายอีกต่อไปและจะตั้งใจทำมาหากินหาเลี้ยงลูกสาวให้เป็นพลเมืองดีของชาติต่อไป

นายสำรวย เกษกุล รอง ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า เรื่องนี้นายวัฒนา พุฒิชาติ ผวจ.ศรีสะเกษ มีความห่วงใยประชาชนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่มีความยากจน ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้ตนมาหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการช่วยเหลือ ซึ่งเรื่องนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน หมายถึง เคสที่ก่อเหตุก็เกิดจากปัจจัยทั้งทางด้านครอบครัวและทั้งสภาพจิตใจด้วย ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือส่วนหนึ่งก็คือเรื่องการดำรงชีพที่มีปัญหาเราก็ได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยเราก็ได้มอบหมายให้ พมจ.ศรีสะเกษ และทางเทศบาลเมืองศรีสะเกษ ช่วยดูแลเนื่องจากว่าตอนนี้ทราบว่าอยู่ร่วมกันถึง 10 คน ซึ่งเป็นสภาพที่ค่อนข้างลำบากมาก แต่เนื่องจากว่าที่อยู่นี้มันติดเรื่องที่ดินของสาธารณะประโยชน์ ซึ่งจะต้องไปทำการเคลียร์เรื่องนี้ก่อน หากเรื่องที่ดินเรียบร้อยก็คงจะได้ไปทำการสร้างที่อยู่อาศัยให้สามารถที่จะเข้าไปอยู่ได้และต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจน ส่วนเรื่องการดำรงชีพต่อไปในเรื่องการประกอบอาชีพนั้น เดิมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก็ได้เข้าไปให้การช่วยเหลืออยู่แล้ว เพราะว่าเป็นครอบครัวผู้พิการมีปัญหาเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยการดูแลเรื่องคนป่วยก็อยู่ในความรับผิดชอบของ รพ.ศรีสะเกษช่วยเหลืออยู่แล้วและมีการนัดหมายไปพบแพทย์ตามกำหนดอยู่แล้ว

นายสำรวย เกษกุล รอง ผวจ.ศรีสะเกษ กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องรายได้ก็จะมีรายได้ในเรื่องของเบี้ยยังชีพผู้พิการบัตรสวัสดิการสังคมก็ได้รับเป็นประจำ แต่ว่าคงไม่เพียงพอ ถ้าสามีไปทำงาน แต่คิดว่าคงไม่เพียงพอในแนวทางการช่วยเหลือก็คือมีภาคเอกชนแจ้งความประสงค์จะรับเข้าทำงานแต่ว่าต้องถามเจ้าตัวก่อนว่าพร้อมที่จะเข้าไปทำงานหรือไม่ หากพร้อมก็จะหาที่ทำงานให้ทันที เพื่อให้มีรายได้เพิ่ม ส่วนการระดมช่วยเหลือกันไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านไม่ว่าจะเป็นทางเทศบาลและส่วนรายการที่เกี่ยวข้องก็พร้อมที่จะเข้าไปให้การช่วยเหลือแต่ว่าคงจะต้องใช้ระยะเวลาซักระยะหนึ่งก็จะสามารถดำเนินการให้ได้แล้วเสร็จ เราก็คงจะต้องดูต่อเนื่องด้วย เพราะว่าในกลุ่มของเคสนี้มีผู้พิการอยู่ด้วย  สามารถดำรงชีพได้เพียงแค่ไหน ก็คิดว่าแนวทางการช่วยเหลือก็จะสามารถช่วยให้เขาอยู่ในสังคมได้สามารถที่จะอยู่อาศัยได้มีอาชีพที่มั่นคงสามารถที่จะดำรงชีพต่อไปได้

นายสำรวย ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนในเรื่องคดีนั้นในด้านการปฎิบัติทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยามที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ว่าเมื่อมีการจับกุมเนินคดี ก็ต้องมีการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วไม่ได้ถูกคุมขังอะไร จากนี้ก็จะรีบส่งสำนวนไปให้ทางอัยการฟ้องศาลต่อไป ส่วนเรื่องเหตุผลความจำเป็นก็อยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะต้องพิจารณาต่อไป ตนคิดว่าในส่วนของทางราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกส่วนพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือในทางปฏิบัติ ก็ขอฝากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ว่าก็เป็นอีกมิติหนึ่งไม่อยากให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่น เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องคดีโดยเฉพาะ คนที่คิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะได้รับความช่วยเหลือ เราก็ต้องดูว่ามีปัจจัยหลายอย่างประกอบกันในการให้ความช่วยเหลือ จะต้องแยกเป็นกรณีไป//////
 
ภาพ / ข่าว  ศิริเกษ  หมายสุข  ผู้สื่อข่าวประจำ  จ.ศรีสะเกษ