สว. ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างฝายยางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชนในพื้นที่ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2565 เวลา 09.30 นาฬิกา ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลพุเตย ต.พุเตย อ.วิเชียรบุรี
จ.เพชรบูรณ์ คณะกรรมการโครงการสมาชิกวุฒิสภาพบประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ (ตอนล่าง)
นำโดย พลอากาศเอก อดิศักดิ์ กลั่นเสนาะ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะรองประธานกรรมการ คนที่หนึ่ง พร้อม
ด้วยสมาชิกวุฒิสภา ประกอบด้วย นายชลิต แก้วจินดา พลเอก สำเริง ศิวาดำรงค์ พลเอก โปฎก บุนนาค
นายเฉลียว เกาะแก้ว ว่าที่ร้อยตรี วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี นายจัตุรงค์ เสริมสุข นายวิบูลย์ โค้วตระกูล
ผู้แทนผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และนายปกรณ์ ตั้งใจตรง นายอำเภอวิเชียรบุรี เข้าร่วมหารือกับ
หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างฝายยาง บ้านพุเตย หมู่ที่ 2 ตำบลพุเตย อำเภอ
วิเชียรบุรี โดยมี นางจินตนา ทองใจสด นายกเทศมนตรีตำบลพุเตย นำเสนอข้อมูลโครงการก่อสร้างฝายยาง
ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำ ลำน้ำป่าสักและได้มีการบรรจุเข้า
แผนงานในการดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2566 ซึ่งหากมีการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเกิดประโยชน์ต่อ
ประชาชนใน 2 อำเภอ คือ อำเภอศรีเทพ และอำเภอวิเชียรบุรี โดยขนาดของฝายยางดังกล่าว มีขนาดสัน
แข็งสูง 2.50 เมตร ฝายยางสูง 3.00 เมตร ความยาว 100 เมตร สามารถเก็บกักน้ำได้ประมาณ 220,000
ลบ.ม. และพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์ ประมาณ 2,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม จากการรับฟังและข้อเสนอของ
ประชาชนในพื้นที่เป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากโครงการก่อสร้างฝายยางดังกล่าวเอื้อประโยชน์ให้แก่
ประชาชนในพื้นที่เป็นจำนวนมากในการบรรเทาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้ ตัวแทนภาคประชาชนได้ให้ข้อมูลข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในประเด็นเกี่ยวกับอ้อย เช่น การขนส่ง
อ้อยของเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่อยู่ไกลจากโรงหีบอ้อย การขาดแคลนแรงงานทำไร่อ้อย ประเด็นเรื่องการขอ
จัดทำโครงการของท้องถิ่น ที่ไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ สปก. และประเด็นเรื่องการขอให้
เกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดไม่เผาอ้อยเพื่อลดฝุ่นพิษ (PM 2.5) เช่น เดียวกับฤดูหีบปี 2563/64 ซึ่ง
จะต้องหาแหล่งทุนสนับสนุน 120 บาท/ตัน โดยใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น
จากการรับฟังข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากหัวหน้าส่วนราชการและตัวแทนภาคประชาชนในประเด็นต่างๆ นั้น หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องได้รับไปพิจารณาดำเนินการในระดับพื้นที่ ส่วนคณะกรรมการฯ จะได้นำไปดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของวุฒิสภาต่อไป