วีระ ! เข้าพบ ผวจ. ติดตาม ช่วยเหลือชาวบ้านป่าเลา เตรียมรื้อคดีใหม่
เพชรบูรณ์-เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และคณะ ได้เดินทางเข้าพบ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ติดตามความคืบหน้าให้การช่วยเหลือกรณีชาวบ้านป่าเลา เตรียมจะขอเพิกถอน ที่ นสล.ที่ออกโดยมิชอบและรื้อคดีใหม่
วันที่ 7 ธันวาคม 2564 เวลา 13.30 น. นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และคณะ ได้เดินทางเข้าพบ นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ณ ห้องรับรองพิเศษ ศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อพูดคุยสอบถามติดตามความคืบหน้าให้การช่วยเหลือ พร้อมขอความเป็นธรรมให้กับชาวบ้าน กรณีถูกฟ้องคดีบุกรุก ที่ดินตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แปลงป่าโคกตาดที่ชาวบ้านป่าเลา อำเภอเมือง กำลังได้รับความเดือดร้อน โดยใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 20 นาที ซึ่งนายวีระฯ ได้กล่าวว่า ตามที่ผมเคยได้รับเรื่องร้องเรียนจาก ชาวบ้านป่าเลา อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ กรณีที่พิพาทกันเกี่ยวกับปัญหาที่ดินป่าโคกตาด ผมมานี้เป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนแรกผมคิดว่ามันจบลงด้วยดีแต่ก็มีปัญหากันเรื่องของการต่อสู้คดี จนมีคำพิพากษาและบังคับคดีไปแล้ว ก็เลยต้องมาพบ ท่านผู้ว่าเพื่อให้ท่านช่วยในการชะลอการบังคับคดีไว้ก่อนเพราะว่าทางผม กับทีมทนายกำลังจะทำเรื่องของการเพิกถอน ที่ นสล.นะครับ ที่ออกโดยมิชอบ คือออกนอกเขตที่มีการประกาศเป็นเขตสาธารณะที่ในอดีต แล้วก็มันไม่ตรง นสล. 2 แปลง แล้วก็จะมีเรื่องที่จะนำไปสู่การเพิกถอนและเรื่องของการรื้อคดี ขึ้นมาพิจารณาใหม่
ซึ่งผลการหารือกับผู้ว่าฯ วันนี้ท่านผู้ว่าฯ ก็ได้ดำเนินการก่อนที่จะมาพบกันอีกนะครับ ท่านก็ได้ยื่นเรื่องต่อไปทางสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอให้พิจารณา ในการที่จะชะลอการบังคับคดี เอาไว้ก่อนครับ พอผมมาก็ไม่ต้องขอเลย ท่านผู้ว่าได้ทำเรื่องไปก่อนล่วงหน้าก็เป็นเรื่องที่ดี ก็ได้รับความกรุณาจากท่านผู้ว่าฯ เป็นอย่างดีครับ หลังจากนี้เราก็จะมีการรื้อคดี ขึ้นมาพิจารณาใหม่ แล้วจะขอเพิกถอน ที่ นสล.ที่ออกโดยมิชอบ
ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวสืบเนื่องจากได้มีผู้นำเรื่องไปฟ้องต่อศาลปกครองพิษณุโลก กล่าวหา นายอำเภอ และนายกองค์การบริหารตำบลป่าเลา ฐานละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งศาลปกครองพิษณุโลกตัดสิน ให้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ออกจากพื้นที่ จากนั้นทางราชการ จึงได้มีการนำคำสั่งศาลปกครอง ไปแจ้งความดำเนินคดีกับราษฎรดังกล่าว จนถึงที่สุดแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างบังคับคดีให้รื้อถอน
อย่างไรก็ดีระหว่างที่ถูกดำเนินคดีในศาลชั้นต้นราษฎรไม่มีโอกาสนำพยานหลักฐานทางราชการไปต่อสู้คดี กระทั่งภายหลังราษฎรพบหลักฐานใหม่ ว่ามีภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารปี 2535 จึงได้นำแผนที่ดังกล่าวมาแสดง พร้อมชี้ให้เห็นว่าที่ดิน นสล.ที่พช.159 ที่ใช้ดำเนินคดีกับราษฎรเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่ราษฎรอาศัยอยู่ จึงเรียกร้องให้มีการพิสูจน์รังวัดที่ดิน นสล.ที่พช.159 และที่ดินสาธารณะป่าโคกตาดจำนวน 10,000 ไร่ใหม่ทั้งแปลง
แต่จนถึงขณะนี้ที่ดินดังกล่าว ก็ยังไม่ได้มีการพิสูจน์รังวัดที่ดิน นสล.ที่พช.159 และที่ดินสาธารณะป่าโคกตาดจำนวน 10,000 ไร่ ใหม่แต่อย่างใด ตามที่ประชาชนร้องขอ พร้อม ขอให้ตรวจสอบที่ดิน นสล.แปลงที่พช.159 เนื้อที่ 1,977 ไร่ ว่าอยู่ในแปลงที่ดินสาธารณะประโยชน์ป่าโคกตาด 10,000 ไร่ จริงหรือไม่ ขณะเดียวกันชาวบ้านก็เตรียมทำหนังสือร้องหน่วยงานที่เกี่ยวให้เพิกถอนที่ นสล.แปลงที่พช.159 เนื้อที่ 1,977 ไร่ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีรายงานข่าวแจ้งว่าที่ดินสาธารณะประโยชน์ป่าโคกตาด ปัจจุบันได้ถูกบุกรุกออกโฉนดเกือบหมดทั้งแปลงแล้ว.