“เทศกาลแบกน้ำหนัก” เริ่มแล้ว : เมื่อกฎหมายถูกบังคับใช้ไม่เท่าเทียม ถนนพัง ภาษีประชาชนสูญเปล่า  

           “เทศกาลแบกน้ำหนัก” เริ่มแล้ว : เมื่อกฎหมายถูกบังคับใช้ไม่เท่าเทียม ถนนพัง ภาษีประชาชนสูญเปล่าในช่วงฤดูหีบอ้อยของทุกปี ปัญหารถบรรทุกอ้อยบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้กลับมาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนประชาชนในหลายพื้นที่ต่างเรียกขานช่วงเวลานี้ว่าเป็น “เทศกาลแบกน้ำหนัก” ซึ่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือถนนหนทางชำรุดเสียหายอย่างรวดเร็ว สร้างภาระงบประมาณในการซ่อมแซมจากภาษีของพี่น้องประชาชน สิ่งที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่งคือ เหตุใดรถบรรทุกอ้อยจำนวนมากจึงสามารถบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมายและวิ่งบนถนนหลวงได้อย่างปกติ ทั้งที่มีหน่วยงานของรัฐซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางบก แขวงทางหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง และตำรวจภูธร ที่ควรจะร่วมกันบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

          ในทางกลับกัน รถบรรทุกพืชผลหรือสินค้าอื่น เช่น ข้าวโพด ข้าวเปลือก ข้าวสาร หรือสินค้าเกษตรประเภทอื่น กลับถูกตรวจสอบและจับกุมอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถบรรทุกเกินน้ำหนักได้แม้เพียงเล็กน้อย สถานการณ์เช่นนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นการเอาเปรียบเกษตรกรและผู้ประกอบการในภาคส่วนอื่นอย่างชัดเจน แม้ในปีที่ผ่านมา จะมีการจับกุมรถบรรทุกอ้อยและส่งฟ้องศาลไปแล้วบางส่วน แต่ในทางปฏิบัติ ยังคงพบเห็นรถบรรทุกอ้อยที่บรรทุกเกินน้ำหนักวิ่งอยู่บนท้องถนนเป็นประจำแทบทุกวัน จนทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่า การบังคับใช้กฎหมายเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นเพียง “ภาพข่าว” มากกว่าการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้น ในการลงพื้นที่ตรวจสอบของหน่วยงานอย่าง ป.ป.ช. ที่มีการประสานให้เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนเข้าร่วม ผลลัพธ์ที่ออกมากลับสามารถตรวจพบได้เพียงรถเปล่าที่มีการดัดแปลงสภาพเท่านั้น ขณะที่รถบรรทุกอ้อยที่บรรทุกน้ำหนักเกินกลับไม่ปรากฏให้เห็น ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า มีการแจ้งข่าวหรือส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าให้ผู้กระทำผิดหลบเลี่ยงการตรวจสอบหรือไม่ ในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และรักษาภาษีของพี่น้องประชาชนที่ต้องนำไปซ่อมแซมถนนซึ่งพังเสียหายจากการบรรทุกเกินกฎหมาย ผู้เขียนขอประกาศจุดยืนว่าจะติดตาม ตรวจสอบ และแจ้งจับรถบรรทุกที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างต่อเนื่องเพราะกฎหมายมีไว้เพื่อบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม มิใช่เพื่อเลือกปฏิบัติ หรือยกเว้นให้กับบุคคล กลุ่ม หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หากหน่วยงานรัฐยังคงปล่อยปละละเลย ปัญหานี้ก็จะวนซ้ำไม่รู้จบ และภาระทั้งหมดก็จะตกอยู่กับประชาชนผู้เสียภาษีเช่นเดิม