อบต.เสอเพลอ บุกรุกที่สาธารณะ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี ลงพื้นที่แสวงหาความจริง  

ตามที่ อบต.เสอเพลอ  อ.กุมภวาปี  จ.อุดรธานี  ได้บุกรุกที่ดินสาธารณะพลเมืองใช้ร่วมกัน ทุ่งทำเลเลี้ยง   อบต.เสอเพลอ บุกรุกที่สาธารณะ   จากการลงพื้นที่ของสื่อมวลชนพบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ ได้บุกรุกที่สาธารณะประโยชน์พลเมืองใช้ร่วมกันทุ่งทำเลเลี้ยงสัตว์ยานพาหนะ  เข้าก่อสร้างโครงการต่างๆหลายโครงการ  ในที่ดินสาธารณะประโยชน์พลเมืองใช้ร่วมกัน ทุ่งสงวนเลี้ยงสัตว์ยานพาหนะ  เลขที่ 13676  ที่ดินเลขที่  132  ระวาง 5543117600   ตั้งอยู่ที่บ้านสงเปลือย   ตำบลเสอเพลอ   อำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี ที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่  353  ไร่  2  งาน    ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีความผิดตาม  มาตรา  157   ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ    และมีความผิดฐาน มาตรา 151  ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท  ผิดระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ. 2553 หมวดที่ 2  หมวดที่ 3   และได้ฝ่าฝืนคำสั่งกระทรวงมหาดไทย  ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย  ที่ มท 0511.2/ว 1389  ลงวันที่  25  เมษายน  2556   และกระทำผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9  ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเมืองแร่และการป่าไม้ ที่ดินของรัฐนั้นถ้ามิได้มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจาก พนักงานเจ้าหน้าที่แล้วห้ามมิให้บุคคลใด (1) เข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่อสร้าง หรือ เผาป่า   โดยนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอกับพวกที่มีอำนาจหน้าที่   ได้เข้าใช้ที่ดินสาธารณะประโยชน์พลเมืองใช้ร่วมกัน ทุ่งทำเลเลี้ยงสัตว์ยานพาหนะ  เลขที่ 13676  ที่ดินเลขที่  132  ระวาง 5543117600   ตั้งอยู่ที่บ้านสงเปลือย   ตำบลเสอเพลอ   อำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี ที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่  353  ไร่  2  งาน  ในการดำเนินการก่อสร้างองค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ  ,ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, ก่อสร้างลานกีฬา ก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก  ฯลฯ  การร้องเรียนดังกล่าวนี้ได้ยื่นหนังสือถึง สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี   ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ

แสวงหาความจริง

 

              นอกจากนี้  นายก , ปลัด และนิติกร  องค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ ยังสนับสนุน

ให้ประชาชนบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์พลเมืองใช้ร่วมกัน ในที่ป่าช้า เข้าแพ้วถางป่าในที่ดินป่าช้า เพื่อดำเนินการก่อสร้างปั๊มน้ำมัน และดำเนินกิจการตลาดโนนต้องทองอินทร์  ซึ่งล้วนเป็นที่สาธารณะประโยชน์พลเมืองใช้ร่วมกัน   สื่อมวลชนจึงได้ยื่นหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ อาทิ ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอกุมภวาปี  ,ศูนย์ดำรงค์ธรรมจังหวัดอุดรธานี , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต  (ป.ป.ช.)ประจำจังหวัดอุดรธานี  ในชั้นต้นนี้ทางจังหวัดอุดรธานี  ได้มีหนังสือแจ้งมายังอำเภอกุมภวาปี แล้วว่าองค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ   ได้บุกรุกที่ดินสาธารณโดยมิได้ขออนุญาตจริง  จึงมอบหมายให้อำเภอกุมภวาปี ดำเนินการตามกฎหมาย  เบื้องต้นอำเภอกุมภวาปี ได้มีคำสั่งให้องค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ  ดำเนินการรื้อถอนปั๊มน้ำมัน และตลาดโนนต้องทองอินทร์  ที่บุกรุกที่สาธารณะประโยชน์พลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว     ส่วนบทลงโทษในการบุกรุกที่ดินสาธารณะอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าพนักงานสอบสวน    ซึ่งได้เข้าแจ้งความไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปี  โดยเจ้าพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปี  ได้ดำเนินการสอบสวน และส่งสำนวนให้กับสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี ภายใน 30 วัน  เมื่อสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี  ได้รับสำนวนดังกล่าวแล้ว และได้พิจารณาแล้วจึงได้ส่งสำนวนดังกล่าวคืนให้กับเจ้าพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปี ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 61 วางหลักเกณฑ์ขึ้นใหม่ว่า กรณีที่ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อตำรวจแล้ว เมื่อตำรวจส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. แม้จะเป็นคดีทุจริตที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. แต่หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า เป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ก็ให้ส่งเรื่องคืนตำรวจภายใน 30 วัน ให้ตำรวจดำเนินการต่อได้ ในกรณีนี้ให้ ป.ป.ช. จัดทำคู่มือแจกจ่ายให้ตำรวจทราบถึงอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนด้วย   

              ซึ่งปัจจุบัน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี ได้ส่งสำนวนให้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปี  ผลเป็นประการใดสื่อมวลชนจะได้เข้าติดตามสอบถามผลความคืบหน้าต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอกุมภวาปี  และแจ้งผลความคืบหน้าการดำเนินการสอบสวนดังกล่าวให้ประชาชนทราบ

               สื่อมวลชน กล่าวเพิ่มเติมว่า   องค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ ได้มีการปกปิดงานโครงการขุดลอกลำห้วย จำนวน 5 โครงการ  ในปีงบประมาณ  2555  ซึ่งได้มีการร้องเรียนยื่นหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการตรวจสอบ  อาทิ  ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอกุมภวาปี ,  ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี  และ สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี   และหลังจากที่มีการดำเนินการยื่นหนังสือร้องเรียนให้เข้าตรวจสอบ  โครงการขุดลอกลำห้วย จำนวน 5 โครงการ  ในปีงบประมาณ  2555     ปัจจุบันสื่อมวลชนได้เข้าติดตามทวงถามความคืบหน้าการดำเนินการสอบสวนโครงการดังกล่าว  เจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี ที่รับผิดชอบ ได้แจ้งกับผู้สื่อข่าว ว่ากำลังดำเนินการและอยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ใหญ่ สื่อมวลชนก็คงได้แต่รอคอยการสอบสวนจาก หน่วยงานสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดอุดรธานี   และติดตามสอบถามผลความคืบหน้าเพื่อแจ้งให้ประชาชนทราบ

                   ต่อมาสื่อมวลชนได้รับ หนังสือที่ว่าการอำเภอกุมภวาปี ที่ อด 0023/362  ลงวันที่  25  กุมภาพันธ์  2564  เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเบิกจ่ายเงิน หจก.พูนสวัสดิ์ 2000  ตามหนังสือ ที่ อด พิเศษ/๒๕๕๘ ลงวันที่ 1๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ขอให้ตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดพูนสวัสดิ์พัฒนา (๒๐๐๐) ในหนังสือสัญญาจ้างและหนังสือฎีกาการเบิกจ่ายเงินในโครงการที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพูนสวัสดิ์พัฒนา (๒๐๐๐) ได้เข้าเป็นคู่สัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ จำนวน ๗ โครงการ และกรณีที่ ผู้อำนวยการกองช่าง มีผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากได้ใช้ หจก.พูนสวัสดิ์พัฒนา (2000)  ซึ่งเป็น หจก.ภรรยาของ ผู้อำนวยการกองช่าง มาดำเนินการรับเหมางานในหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอ  

                    จากการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ว่าการอำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี   ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายเกรียงไกร  จุลทองพิพัฒน์ ผู้อำนวยการกองช่าง และนางสาวขนกพร  ชื่นบุญเพิ่ม หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนพูนสวัสดิ์พัฒนา (๒๐๓๐) จำกัด  ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามโครงการข้างต้น ได้แต่งงานอยู่กินฉันท์สามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ ๘ ชันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยอยู่กินกันประมาณ ๑ ปีเศษ และได้เลิกลาและแยกทางกันเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ 

                    จากการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงอำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี   ด่วนสรุปเกินไปอาจมีการถ้อยคำไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยให้ถ้อยคำช่วยเหลือกัน จึงเป็นเหตุให้ไม่ควรเชื่อถือได้ทั้งหมด  ทั้งที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงยังไม่ได้ดำเนินการแสวงหาความจริง ฟังแต่เพียงการให้ปากคำของพยานเท่านั้น   ดังนั้นจึงขอให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง อำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี ได้แสวงหาความจริงโดยแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงลายมือชื่อต่อหน้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและส่งลายมือชื่อดังกล่าว พร้อมลายมือชื่อในการลงนามในเอกสารคู่สัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลเสอเพลอทั้ง ๗ โครงการ ไม่ว่าสำเนาสัญญาจ้าง สำเนาฎีกาเบิกจ่ายเงิน สำเนาเอกสารการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์  ส่งตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่กองพิสูจน์หลักฐาน และเพื่อความชัดเจนควรส่งตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่กองพิสูจน์หลักฐานกลางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  บนความถูกต้อง ตามความเป็นจริง  และเพื่อมาเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในทุกประเด็น  ส่วนสื่อมวลชนยังคงได้ติดตามแสวงหาความจริง จากแหล่งที่มาของความจริง และความคืบหน้าในการแสวงหาความจริงของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง อำเภอกุมภวาปี  จังหวัดอุดรธานี   เพื่อแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย มานำเสนอข่าวสารให้ประชาชนทราบต่อไป